ความต้องการขั้นพื้นฐานของลูกวัยนี้
วัยนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เด็กเริ่มออกห่างจากพ่อแม่ ให้ความสำคัญกับมิตรภาพเพื่อนฝูงเป็นที่สุด พวกเขาต้องการได้รับการยอมรับ อยากมีทุกอย่างเหมือนกับเพื่อนกลุ่มเดียวกัน ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม ต้องการให้เพื่อนรู้สึกประทับใจในพฤติกรรมของตน ถ้าหากผู้ใหญ่ไม่เข้าใจ ไม่ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น ปฏิเสธในพฤติกรรมของเขา บอกกล่าวชี้แนะ ตำหนิ ห้ามปราม พวกเขาจะรู้สึกหงุดหงิด เกิดความคับข้องใจ มีความสงสัยขัดแย้งในตนเอง เกิดอารมณ์ไม่มั่นคง จนอยากแยกตัวออกจากบ้านหรือเก็บตัวอยู่แต่ในห้อง ดังนั้น บทเรียนข้อที่1 ในการเลี้ยงดูลูกวัยนี้ของพ่อแม่ คือ การให้การยอมรับลูกอย่างไม่มีเงื่อนไขผ่าน “การฟังรับอย่างไม่ตัดสิน”
การรับฟังอย่างไม่ตัดสิน คืออะไร
เป็นการฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันตรงหน้าและใส่ใจในผู้พูดอย่างแท้จริง เป็นการฟังโดยปราศจากการตัดสินถูกผิด ฟังให้ลึกกว่าคำพูดที่ได้ยิน ได้ยินในสิ่งที่ผู้พูดไม่ได้พูดออกมา ฟังสัญญาณที่ผู้พูดต้องการสื่อผ่านทางภาษากาย ความรู้สึก น้ำเสียง และสีตาแววตา
การฟังอย่างไม่ตัดสิน มีประโยชน์กับลูกอย่างไร
ใน การ สื่อสาร กับลูกวัยรุ่น พ่อแม่ควรเปลี่ยนบทบาทจากผู้พูด ผู้อบรมสั่งสอนมาเป็นผู้ฟังที่ดี เพราะอย่างที่กล่าวมา เด็กในวัยนี้เป็นวัยที่กำลังสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตน โดยต้องการการสนับสนุนและยอมรับจากพ่อแม่ เพื่อนฝูง และบุคคลในสังคม ดังนั้น การรับฟังอย่างไม่ตัดสินของพ่อแม่ เป็นการแสดงให้ลูกเห็นถึงการยอมรับ การไม่ปฏิเสธและเคารพในความเป็นตัวตนของเขา และยังมีประโยชน์ทั้งแก่ลูกและพ่อแม่ในอีกหลายด้าน ดังนี้
เทคนิค การฟังอย่างไม่ตัดสิน บทเรียนข้อที่1 ที่พ่อแม่จำเป็นต้องฝึกฝน
การฟังอย่างไม่ตัดสิน เป็นทักษะสำคัญที่พ่อแม่ความเรียนรู้และฝึกฝนเพื่อใช้ใน การ สื่อสาร กับลูกวัยรุ่น โดยมีเทคนิค ดังนี้ต่อนี้
พ่อแม่ควรวางความคิด ทัศนคติ ข้อคิดเห็นต่าง ๆ ของตนลงก่อน และเปิดใจรับฟังสิ่งใหม่ ๆ จากลูกที่กำลังพูดอยู่ตรงหน้า เปิดประสาทสัมผัสทุกส่วนของร่างกาย ให้ใจได้รับรู้ หูได้ฟัง ตาได้เห็น กายได้ สัมผัส เพื่อรับสัญญาณต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแม้ลูกจะไม่ได้พูดออกมา
บางครั้งคนเราอาจพูดในสิ่งที่ไม่ตรงกับใจ คิดอย่างไร รู้สึกอย่างไรก็ไม่ได้พูดออกมาตรง ๆ พ่อแม่ควรหันหน้า สบตา ฟังลูกอย่างใส่ใจ เพื่อให้เข้าใจในสิ่งที่ลูกกำลังสื่อแม้จะไม่ได้พูดออกมาก็ตาม พ่อแม่ สามารถรับสัญญาณเหล่านั้นของลูก โดยการสังเกตจาก
ปล่อยให้ลูกพูดโดยไม่ตั้งคำถามขัดจังหวะ ไม่พูดแทรกหรือพูดต่อท้ายทันทีที่ลูกพูดจบ พ่อแม่สามารถแสดงการตอบรับด้วยการพยักหน้า หรือพูดตอบรับสั้น ๆ ที่แสดงว่ากำลังตั้งใจฟังอยู่ การพูดว่า “อ๋อ อย่างนั้นหรอ” เป็นต้น
หลายครั้งในขณะที่เรากำลังฟัง ในหัวของเราก็มักทำงานคิดหาคำโต้ตอบ มีความคิดเห็น หรือคำค้านต่าง ๆ ที่อยากจะพูดแทรกหรือตอบกลับทันทีที่ลูกหยุดพูด ในทางที่ถูกต้องแล้ว พ่อแม่ควรปล่อยให้มีช่วงเวลาของความเงียบบ้าง เมื่อลูกหยุดพูด ให้มองหน้าลูกแล้วยิ้มเพื่อรอให้ลูกพูดต่อ บางครั้งความเงียบเป็นช่วงเวลาที่ให้ลูกได้คิดทบทวน ไตร่ตรอง จัดการกับความรู้สึกของตนเอง ทำความเข้าใจในตนเอง และยังเป็นการเปิดโอกาสให้ลูกได้มีเวลาคิดตั้งคำถามกับพ่อแม่เพื่อขอความคิดเห็น
บางครั้งลูกอาจถามวิธีการแก้ปัญหาจากพ่อแม่ พ่อแม่ไม่ควรแนะวิธีการแก้ปัญหาให้ลูกทันที แต่พ่อแม่ลองชวนลูกหาคำตอบ โดยการตั้งคำถามปลายเปิดในเชิงสร้างสรรค์ เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกได้มองเห็นตัวเอง เข้าใจตนเองตามความเป็นจริง และค้นหาคำตอบด้วยตนเอง เช่น “ลูกคิดว่ามีวิธีไหนบ้างที่จะทำให้ลูกรู้สึกดีขึ้น” “ลูกว่าเราจะช่วยแก้ปัญหานี้ด้วยกันได้อย่างไร” “ลูกคิดว่าการทำแบบนี้มีผลดีและผลเสียต่อลูกอย่างไร” เป็นต้น เพราะตามทฤษฎีการให้การปรึกษา เชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการค้นหาคำตอบและวิธีการแก้ปัญหาที่เหมาะสมที่สุดได้ด้วยตัวเอง มนุษย์ทุกคนสามารถนำทางและชี้แนะหนทางเดินให้แก่ตนเองได้โดยการตั้งคำตอบที่มีคุณภาพและหาคำตอบจากภายในของตนเอง ดังนั้น วิธีการแก้ปัญหาที่พ่อแม่แนะนำแก่ลูกอาจจะเป็นวิธีที่ไม่เหมาะกับตัวลูก แถมยังเป็นการปิดกั้นโอกาสของลูกในการฝึกฝนค้นหาแนวทางการแก้ปัญหาด้วยตนเอง พ่อแม่ควรเป็นผู้ให้การปรึกษา เป็นผู้ร่วมเดินทาง ชวนกันหาหนทางที่เหมาะสมในหลาย ๆ ด้าน โดยให้ลูกเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการเลือกหนทางของตนเอง
ความเคารพในการตัดสินใจของลูกผ่าน “การฟังโดยไม่ตัดสิน” มีประโยชน์หลาย ๆ ด้านทั้งแก่ตัวลูกและพ่อแม่ เนื่องด้วย วัยรุ่น เป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจแบบก้าวกระโดด เป็นช่วงรอยต่อระหว่างวัยเด็กกับวัยผู้ใหญ่ ซึ่งอาจสร้างความรู้สึกสับสน ความไม่เข้าใจในตนเอง และอารมณ์ไม่มั่นคงให้แก่ตัวลูก พ่อแม่ควรทำความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของเด็กวัยนี้ พร้อมเปิดโอกาสและยอมรับให้ลูกได้เป็นตัวของตัวเอง เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
ที่มาข้อมูล