10 เทรนด์การตัดต่อวิดีโอที่จะมาแรงในปี 2023
2366 views | 25/08/2022
Copy link to clipboard
Apple W.
Content Creator

ครึ่งปีหลังแบบนี้ ถือเป็นโอกาสดีในการสำรวจเทรนด์การตัดต่อวิดีโอที่กำลังจะมาแรงในปี 2023 การตัดต่อวิดีโอที่มาแรงแน่นอน และยังคงมาแรงในปี 2023 ก็คือ การตัดต่อวิดีโอสั้น Short Video แต่นอกเหนือจากการตัดต่อวิดีโอสั้น ก็ยังมีเทรนด์การตัดต่อวิดีโอแบบอื่นที่เราควรเรียนรู้วิธีการตัดต่อเอาไว้ เพื่อใช้ในคอนเทนต์วิดีโอของเราให้ทันสมัยในปีหน้า !



เว็บไซต์ Outsource Accelerator ได้ทำการสำรวจเทรนด์การตัดต่อที่จะมาแรงในปี 2023 ซึ่งเป็นปีที่คอนเทนต์ประเภทวิดีโอจะยังคงเป็นคอนเทนต์ที่ได้รับความนิยมมากกว่าคอนเทนต์อื่น ดูได้จากการลงทุนในโฆษณาประเภทวิดีโอที่มากขึ้นจากแบรนด์ต่าง ๆ แคมเปญการตลาดส่วนใหญ่ที่เลือกวิดีโอเป็นองค์ประกอบสำคัญของแคมเปญ รวมถึงยอด Engagement ที่บ่งชี้ได้ว่า วิดีโอเป็นคอนเทนต์ที่ทำให้ผู้ชมมีส่วนร่วมบนแพลตฟอร์มดิจิทัลและโซเชียลมีเดียมากที่สุดอีกด้วย 



10 เทรนด์การตัดต่อวิดีโอที่จะมาแรงในปี 2023



1. วิดีโอสั้น (Short-form Videos) 

วิดีโอสั้นยังคงเป็นเทรนด์ในการตัดต่อวิดีโอที่จะยังคงมาแรงในปี 2023 จากการเกิดขึ้นของแอป TikTok หลาย ๆ แอปทำฟีเจอร์เจ๋ง ๆ เพื่อแชร์วิดีโอสั้นออกมาเเข่งขันกันเรื่อย ๆ เหล่าครีเอเตอร์และนักการตลาดนิยมใช้วิดีโอสั้น หรือว่าคลิปสั้นดึงดูดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ และทำให้คนดูมีส่วนร่วมกับแบรนด์มากขึ้น 


ความยาวที่เป็นที่นิยมสำหรับวิดีโอสั้นมักจะน้อยกว่า 2.5 วินาที แต่ละแพลตฟอร์มก็จะมีระยะความยาวของวิดีโอที่แตกต่างกันไป เช่น 2.5 นาทีเป็นความยาวของวิดีโอที่ Twitter อนุญาต แต่ถ้าเป็นแอป TikTok และ Short จะอนุญาตให้เราทำคลิปสั้นเพียง 60 วินาทีเท่านั้น ส่วนคอนเทนต์ประเภทวิดีโอสั้นที่มาแรงก็คือ คอนเทนต์ประเภทชาเลนจ์ เนื่องจากเป็นวิดีโอที่มีเวลาจำกัดนั่นเอง 



2. ไลฟ์สด (Live Streaming)

หากใครสนใจอยากทำไลฟ์สดในปีหน้าเพื่อเพิ่มยอดขายหรือทำคอนเทนต์ประเภท Live Stream เกม บอกเลยว่ายังทำได้อยู่ เพราะจากข้อมูลหลังบ้านของบริการ Live Streaming นั้นมียอดการลงทุนที่สูงมากตั้งแต่ก่อนเกิดโรคระบาดโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกามีการลงทุนในบริการ Live Streaming อาจมีมูลค่าสูงถึง 184.27 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2027 


บริการไลฟ์สดสามารถเพิ่มความนิยมได้มากถึง 3 เท่าเมื่อเทียบกับวิดีโอที่ถูกถ่ายและตัดต่อแบบเดิม ๆ ลูกค้าจะเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์มากยิ่งขึ้นเมื่อแบรนด์ทำการไลฟ์สด ถ่ายทอดสดบนโซเชียลมีเดีย ทั้งนี้นอกจากการไลฟ์สดแล้ว การตัดต่อวิดีโอโฆษณาสไตล์ไลฟ์สดยังได้รับความนิยมมากขึ้นในแง่ของการมีส่วนร่วมกับลูกค้าอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น โฆษณา Lancome ที่มีบิวกิ้นเป็นพรีเซนเตอร์



3. วิดีโอแนวตั้ง (Vertical Videos)

วิดีโอแนวตั้งจะยังคงได้รับความนิยมต่อเนื่องไปจนถึงปี 2023 นั่นแปลว่าหากเราอยากทำวิดีโอในสัดส่วนแนวตั้ง 9:16 บนสตอรี่ (Story) ไม่ว่าจะเป็น Facebook Story, Instagram Story ไม่เว้นแม้แต่แพลตฟอร์ม TikTok วิดีโอแนวตั้งจะได้รับความนิยมมากกว่าวิดีโอแนวนอน 


ดังนั้นไม่ว่าเราจะทำวิดีโอแนวไหนก็ตาม ต้องคำนึงถึงข้อมูลเบื้องหลังว่าคนส่วนใหญ่ใช้มือถือท่องอินเทอร์เน็ตเป็นส่วนใหญ่ และพวกเขาต้องการให้วิดีโอคอนเทนต์นั้น ๆ มีสัดส่วนที่พอดีกับมือถือของพวกเขา ซึ่งก็คือแนวตั้ง และไม่ใช่แค่วิดีโอแนวตั้งที่จะมาแรง วิดีโอโฆษณาต่าง ๆ บนโซเชียลมีเดียต่างก็พบว่า วิดีโอโฆษณาที่เป็นแนวตั้งนั้นมีอัตราตอบรับดีกว่าคลิปแนวนอนแบบเดิม ๆ



4. Interactive Videos

Interactive video หรือวิดีโอที่ตอบโต้ได้ (Interactive Video) ซึ่งหากใครยังนึกไม่ออกว่า Interactive Video เป็นอย่างไรให้นึกถึง MV เพลง Ink ของวง Clodplay ที่เราสามารถที่จะกดติดตามชาแนลได้เลยบนหน้าจอ เทคนิคการตัดต่อวิดีโอแบบนี้จะได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากการเติบโตที่มากขึ้นของ Shoppable Video หรือวิดีโอที่เราสามารถกดซื้อของได้เลยโดยตรง


ดังนั้นจึงทำให้ Interactive Video เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อ ขาช้อปจะไม่เสียเวลากดออกไปเสิร์ชดูสินค้าจากเว็บไซต์อื่น ทุกอย่างสามารถจบได้ในโพสต์เดียว โดยเราต้องใส่ Link ใส่ปุ่ม Call-To-Action ให้สะดุดตาและคลิกได้จริงในวิดีโอด้วย



5. Higher Video Resolution

วิดีโอจะมีความละเอียดมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนอย่างที่ความละเอียด 4K กลายเป็นความละเอียดมาตรฐานแทนที่ความละเอียด Full HD วิดีโอที่มีความละเอียดมากกว่า 3840 x 2160 พิกเซลจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น


เนื่องจากความละเอียดแบบ 4K หรือมากกว่านั้นเริ่มกลายเป็นความละเอียดที่หาได้ทั่วไปบนโทรศัพท์มือถือ ดังนั้นในปี 2023 จึงมีแนวโน้มที่วิดีโอความละเอียดสูง ๆ จะเป็นที่นิยมมากกว่าวิดีโอที่มีความละเอียดต่ำ ดังนั้นจึงควรลงทุนและเริ่มมองหาซอฟต์แวร์ที่จะสามารถผลิตวิดีโอความละเอียดสูงเอาไว้เพ่ื่อผลิตคอนเทนต์ในอนาคต 



6. วิดีโอแบบ 360 องศา (360° Videos) 

เมื่อเทียบกับวิดีโอรูปแบบอื่น วิดีโอ 360 องศา มีเปอร์เซ็นต์อัตราส่วนคนดูเทียบกับคนเห็นคิดมาจากจำนวนคนที่ดูคลิปในจอเกิน 3 วินาทีต่ำกว่าวิดีโอทั่วไป แต่วิดีโอแบบ 360 องศากลับมีเปอร์เซ็นต์การคลิกผ่านวิดีโอหรือ Click Through Rate (CTR) สูงกว่าวิดีโอประเภทอื่น ทำให้แนวโน้มการทำวิดีโอ 360 องศายังน่าลงทุนอยู่ 


ธุรกิจที่ต้องการนำเสนอความโดดเด่นของสินค้า หรือต้องการโชว์ความคิดสร้างสรรค์ให้พัฒนาขึ้นมาอีกระดับ ต้องสนใจทำวิดีโอ 360 องศา นอกจากนี้วิดีโอ 360 องศายังทำให้ผู้สนใจสามารถดู “ผลิตภัณฑ์ตัวอย่าง” ก่อนตัดสินใจซื้อได้ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้บริโภคกว่า 98% พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วิดีโอแบบ 360 องศานั้นน่าตื่นตาตื่นใจกว่าวิดีโอรูปแบบอื่น 



7. ตัดต่อผ่านไลฟ์สด (Live Video Editing)

การตัดต่อวิดีโอผ่านไลฟ์สดคือ การใส่ Effect ต่าง ๆ ระหว่างที่กำลังถ่ายทอดสด หรือกำลังไลฟ์สดนั่นเอง เกิดจากการอยากเพิ่มความน่าสนใจให้กับการไลฟ์สด เพื่อดึงดูดให้คนดูไม่กดออกไปจากไลฟ์ หรือเกิดความเบื่อระหว่างดูไลฟ์สด ครีเอเตอร์จึงต้องสร้างลูกเล่นระหว่างที่ไลฟ์สดไปด้วยอย่างแนบเนียน ด้วยการเตรียม Effect เอาไว้ใช้แบบเรียลไทม์ 


ซึ่งปัจจุบันเทคนิคการตัดต่อวิดีโอระหว่างไลฟ์สดที่ได้รับความนิยมคือการใส่ฟิลเตอร์และอิโมจิต่าง ๆ ระหว่างที่ไลฟ์สด แต่ในปี 2023 ที่จะถึงนี้เราจะได้เห็น Effect ประเภท Video Transitions และ Overlays เจ๋ง ๆ มากยิ่งขึ้น ซึ่งในตอนนี้หลาย ๆ แอปก็กำลังเพิ่ม Effect Video Transitions ภายในแอปของตัวเองเพื่อดึงดูดผู้ใช้บริการ 



8. ตัดต่อวิดีโอด้วยเทคโนโลยี AI (More intelligent Video Editing Software)

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยี AI จะเข้ามามีบทบาทแม้แต่ในวงการตัดต่อวิดีโอ ต่อไปในอนาคตเราจะมีซอฟต์แวร์เจ๋ง ๆ ที่ใช้ AI ในการช่วยเราตัดต่อวิดีโอให้ออกมาดีมากยิ่งขึ้น ข้อดีที่เห็นได้ชัดคือเทคโนโลยีนี้จะช่วยให้เราประหยัดเวลาให้การตัดต่อได้ แถมยังช่วยให้เราได้วิดีโอที่สร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น โปรแกรมตัดต่อวิดีโอชื่อดัง Premiere Pro เพิ่ม Remix ให้ AI มิกซ์เพลงให้อัตโนมัติ 


ในอนาคตหากเรามีซอฟต์แวร์ที่ใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการตัดต่อวิดีโอ เราก็เหมือนมีตัวพลิกเกมของการสร้างวิดีโอและคลิปสั้นอยู่ในมือ เพราะมันจะช่วยให้เราจัดเรียงคลิปต่าง ๆ และตัดต่อออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบในเวลาอันรวดเร็วและง่ายดายยิ่งขึ้นนั่นเอง 



9. ขนาดของวิดีโอไม่สำคัญเท่า Subtitle

ในช่วงที่ผ่าน ๆ มา ทีวีและคอมพิวเตอร์เปลี่ยนจากขนาด 4:3 ไปเป็น 16:9 แต่ต่อมาขนาดของวิดีโอได้เปลี่ยนไปเป็นขนาดของโทรศัพท์มือถือมากกว่า แล้วก็วนเวียนมาอยู่ที่ขนาดแนวนอน 1:1 เพราะ Facebook ประกาศให้ใช้ขนาดวิดีโอ 1:1 บนแพลตฟอร์ม จนหลายครั้งสร้างความสับสนให้กับคนทำคอนเทนต์วิดีโอ  


แต่ในอนาคตที่จะถึงนี้คลิปแนวตั้งหรือแนวนอนหรือจตุรัสมันก็ไม่ได้มีความสำคัญเทียบเท่ากับ Subtitle เพราะธรรมชาติของคนจะดูเต็มจอหรือครึ่งจอ แต่คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะ Facebook ก็ยังคงเป็นคอนเทนต์ที่เราดูกันแบบไม่ค่อยเปิดเสียงอยู่ดี 



10. วิดีโอที่ตัดแล้วโพสต์ซ้ำได้ (Repurposing Content and Cross-Posting)

เทรนด์การตัดต่อวิดีโอในอนาคตจะไม่ใช่แค่เน้นความสร้างสรรค์และเข้าใจง่ายเท่านั้น แต่ยังต้องเป็นวิดีโอที่สามารถโพสต์ซ้ำได้ และสามารถนำไปโพสต์บนแพลตฟอร์มอื่นได้หลาย ๆ แพลตฟอร์มอีกด้วย เพื่อช่วยลดต้นทุนการทำคลิปวิดีโอ การตัดต่อวิดีโอในอนาคตจึงต้องคำนึงถึงการโพสต์ซ้ำได้ 


อย่างไรก็ตาม แม้แต่ละแพลตฟอร์มจะมีกฎในการตัดต่อวิดีโอเป็นของตัวเอง แต่สิ่งที่ต้องคำนึงเมื่อต้องตัดต่อวิดีโอหนึ่งคลิปคือต้องคิดให้จบว่าเราจะสามารถโพสต์วิดีโอนี้ลงแพลตฟอร์มไหนได้บ้างมากกว่า 1 แพลตฟอร์มโดยไม่ผิดกฎของแพลตฟอร์มไหนเลย เราอาจจะต้องใช้ซอฟต์แวร์การตัดต่อวิดีโอมาช่วย เพื่อให้ได้วิดีโอที่ไม่ติดลายน้ำของแอปไหนเลย เป็นต้น 


ติดตามสาระดี ๆ อีกมากมาย พร้อมเทคนิคการตัดต่อวิดีโอทุกประเภท หากใครสนใจเรียนตัดต่อวิดีโอ เพิ่มสกิลให้กับตัวเองในปีหน้า สอนด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด ผ่านแอป KineMaster เรียนจบแล้วสามารถตัดต่อวิดีโอง่าย ๆ ได้ ต่อยอดสร้างรายได้เสริม หรือจะเรียนเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเอง อยากลองทำงานด้าน Digital Skill ที่จำเป็นมากในยุคนี้ อย่ารอช้า คลิกเลย



ที่มาข้อมูล

  • https://www.outsourceaccelerator.com/articles/video-editing-trends/
  • https://www.vlearn.world/knowledge/view/584/digital-skills--How-To-Use-Video-On-Instagram-Shopping-To-Reach-Customers