ว่ากันว่าการจะตัดต่อวิดีโอให้ดีได้ ไม่ใช่แค่รู้ว่าใช้โปรแกรมไหนก็จบ มีเหล่าครีเอเตอร์หลายคนที่ใช้โปรแกรมตัดต่อฮิต ๆ อย่าง Adobe Premiere Pro, Final Cut Pro หรือแม้แต่แอปตัดต่อในมือถืออย่าง KineMaster ได้คล่องแคล่ว แต่หลายคนก็ยังไม่สามารถคลอดวิดีโอดี ๆ ที่มีสไตล์ชัดเจน มีมุมกล้องเจ๋ง ๆ ออกมาได้
เพราะการตัดต่อวิดีโอที่ดีต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ‘จังหวะ’ แห่งการตัดต่อใส่ลงไปด้วย จังหวะที่จะเชื่อมซีนหนึ่งไปยังอีกซีนหนึ่งให้ไม่สะดุด แต่สมูทจนคนดูต้องติดตามจนจบ แถมยังบิ้วอารมณ์คนดูให้คล้อยตามไปกับเรื่องที่เราอยากจะสื่อได้ ทั้งนี้อย่าลืมว่า การตัดต่อคือการเปลี่ยนภาพและเสียงจากหนึ่งช็อต (Shot) ไปยังช็อตต่อไปโดยให้มีความต่อเนื่องและเรียงลำดับเรื่องราว ไม่มีการกระโดดหรือซ้อนกัน และสามารถรักษาคุณภาพของภาพและเสียงให้กลมกลืนกันได้โดยตลอด
ดังนั้นใครที่สามารถเข้าใจจังหวะแห่งการตัดต่อ ไปจนถึงเทคนิคการลำดับภาพได้ ก็ยิ่งจะเพิ่มความน่าสนใจให้กับวิดีโอให้เพิ่มมากขึ้น โดยหลักการลำดับภาพมี 2 ข้อสำคัญ ดังนี้
1. ความยาวของภาพหรือช็อต การเปลี่ยนภาพแต่ละครั้งจะทำให้ผู้ชมถูกกระตุ้นความรู้สึกขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วความรู้สึกนั้นจะค่อย ๆ ลดลงจนกระทั่งมีการตัดภาพอีกครั้งหนึ่ง ถ้าความยาวของช็อตพอเหมาะกับอารมณ์ของผู้ชม ผู้ชมก็จะถูกกระตุ้นตามจังหวะ ถ้าช็อตยาวเกินไป ถ้าคนดูไม่ได้ชอบสไตล์นี้อยู่แล้วเขาก็อาจเบื่อได้
2. ความถี่ของการเปลี่ยนภาพ หรือถ้าจะเรียกง่าย ๆ ว่าการตัดภาพนั้น ตามธรรมดารายการที่มีความยาว 30 นาที จะมีความถี่ในการตัดภาพประมาณ 20 ครั้ง แต่ความถี่นี้อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามเนื้อเรื่องของเรื่องที่แสดง ถ้าเป็นเรื่องที่แสดงถึงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว เช่น การวิ่ง การกระโดด อาจตัดภาพที่มีความถี่สูง ความจริงแล้วความยาวช็อต และความถี่ของการเปลี่ยนภาพนี้มีความสัมพันธ์กันอยู่แล้ว
ตัวอย่างเทคนิค Cut จากเพลง Daydreaming ของ Radiohead
Cut หรือ Straight cut คือเทคนิคการตัดต่อที่เราจะเห็นมากที่สุด เป็นการนำคลิปวิดีโอสองคลิป หรือเหตุการณ์ การกระทำที่อยู่ในซีนเดียวกันมาต่อกัน ในลักษณะของการตัดไปตรง ๆ เพื่อแสดงถึงความต่อเนื่อง เทคนิค Cut ชน Cut นี้มักจะไม่ต้องการให้ผู้ชมตีความใด ๆ เป็นพิเศษ แค่ต้องการแสดงให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเท่านั้น ซึ่งการทำ YouTube หรือ Music video ส่วนใหญ่ก็มักจะใช้เทคนิคนี้
ตัวอย่างเทคนิค Jump Cut ในหนังเรื่อง Little Shop of Horrors (1986)
การตัดแบบ Jump Cut ก็คือการตัดจากช็อตหนึ่งไปอีกช็อตหนึ่ง ซึ่งทั้งสองช็อตนั้นมักจะอยู่ในตำแหน่ง มุมกล้อง สถานที่เดียวกันหรือคล้ายกัน ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมาก ใช้เมื่อต้องการตัดสิ่งที่ยาวไป ไม่ต้องการออกไป หรือว่ามีช่วงที่ถ่ายวิดีโออยู่ดี ๆ ก็มีเหตุการณ์นอกสคริปต์เกิดขึ้น ซึ่งเราไม่อยากให้มันอยู่ในวิดีโอ แต่หากทำไม่เนียนก็จะทำให้คนดูรู้สึกว่าวิดีโอสะดุด กระตุก โดดไปโดดมา ไม่น่าเชื่อถือ ดังนั้นจึงไม่นิยมให้ Jump Cut บ่อย ๆ ถ้าไม่จำเป็น หรือวิดีโอยาวแค่ 10 นาทีแต่ Jump Cut คำต่อคำไปแล้ว 50 กว่าครั้ง เป็นต้น เทคนิค Jump Cut มักนิยมใช้ในวิดีโอสัมภาษณ์ รีวิว คลิปอธิบายยาว ๆ ยาก ๆ ฯลฯ
ตัวอย่างการใช้เทคนิค Cross Cutting ในหนังเรื่อง Dunkirk
เป็นเทคนิคการตัดต่อเมื่อเราต้องการนำเสนอเหตุการณ์ตั้งแต่ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน แต่ต่างสถานที่กัน แต่ดำเนินอยู่ในเส้นเรื่องเดียวกัน เพื่อให้คนดูเข้าใจความแตกต่างหรือเปรียบเทียบให้เห็นชัดขึ้น โดยทั้งสองเหตุการณ์จะมีความหมายทั้งคู่ ไม่ใช่ภาพที่แทรกมาเพื่อเสริมความหมายให้กับภาพหลักเท่านั้น บางครั้งเทคนิค Cross Cutting ก็ทำเพื่อหลอกล่อให้ผู้ชมหลงทาง เดาไม่ถูก เพิ่มความสนุกหรือใช้สะท้อนความย้อนแย้งบางอย่าง มักจะเห็นเทคนิคนี้ในวิดีโอชาเลนจ์ต่าง ๆ เป็นต้น
ตัวอย่างการใช้เทคนิค Coverage จากหนัง Stranger Things
หมายถึงการนำเสนอภาพในฉากจากหลายมุมกล้องของตัวแสดงหลายครั้งเพื่อให้ยังคงความต่อเนื่องเอาไว้ได้ โดยเฉพาะวิดีโอที่ถูกถ่ายในสถานที่เดิม ไม่ได้ย้ายฉากไปไหน โดยเราจะเห็นเทคนิคนี้บ่อย ๆ ในวิดีโอประเภทสอนแต่งตัว การแกะกล่องสินค้า วิธีใช้สินค้าหรือว่ารูมทัวร์ที่จะมีวัตถุเดียวหรืออยู่ในซีนเดียวกัน แต่ต้องการให้คนดูเห็นหลาย ๆ มุม โดยจะต้องมีการถ่ายมุมดังต่อไปนี้
ตัวอย่างการใช้เทคนิค Montage ในโฆษณา Colin Kaepernick ของ Nike
คือการตัดต่อแบบรวบรวมหลายเหตุการณ์ โดยที่แต่ละคลิปไม่จำเป็นต้องต่อเนื่อง หรือเป็นเหตุการณ์เดียวกันเลย เพื่อเล่าเรื่องผ่านธีมหลัก สรุปเรื่องราวโดยใช้เวลาเพียงสั้น ๆ การตัดต่อแบบนี้จะนิยมใช้เพื่อเล่าเรื่องโดยมีธีมเรื่องเป็นหลักอยู่แล้ว บ่อยครั้งก็มีการใช้เพลงเข้ามาประกอบ โดยเพลงนั้นจะมีความหมายหรือทำนองสอดคล้องกับเรื่องราวที่ต้องการสื่อออกไป เทคนิคนี้ใช้บ่อย ๆ ในการถ่าย Vlog, วิดีโอโฆษณาขายของ
ตัวอย่างเทคนิค Match Cut ในหนังเรื่อง Pirates of the Caribbean Curse Of The Black Pearl
Match Cut เป็นการเชื่อมช็อตสองช็อตเข้าด้วยกัน โดยคำนึงถึงความต่อเนื่องลื่นไหลเป็นหลัก ด้วยการตัดต่อวีดีโอจากภาพ ๆ หนึ่งไปเป็นอีกภาพหนึ่ง โดยทั้งสองภาพมักจะมีความคล้ายกันผ่านการจับคู่ ซึ่งเราจะใช้องค์ประกอบจากฉากก่อนหน้าในการตัดต่อวีดีโอเพื่อนำไปยังฉากต่อไปอย่างลื่นไหล เพื่อสร้างความรู้สึกของการเชื่อมต่อระหว่างสองเหตุการณ์ที่แตกต่างกัน โดยแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท
ตัวอย่างการใช้เทคนิค Cutaway จากหนังเรื่อง Eternal Sunshine of the Spotless Mind
Cutaway คือการตัดภาพไปยังภาพอื่น ขณะที่ภาพเหตุการณ์นั้นยังดําเนินอยู่ แล้วจึงตัดย้อนกลับมาภาพหลักอีกครั้ง เทคนิคนี้อาจทำให้ขาดความต่อเนื่องไปบ้าง แต่หากแช่ภาพหลักนานเกินไปคนดูอาจหมดความสนใจได้ โดยเทคนิคนี้จะใช้เพื่อข้ามเวลาไปในฉากอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อเปรียบเทียบหรือสื่อความหมายเชิงสัญลักษณ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมและเสริมความเข้าใจให้กับเหตุการณ์หลัก โดยภาพที่แทรกเข้ามาจะมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หลัก
ที่มาข้อมูล