7 ข้อควรรู้เมื่อคิดจะลดน้ำหนักแบบ IF
1274 views | 29/04/2022
Copy link to clipboard
Content Creator

การทำ IF เป็นทางเลือกหนึ่งที่คนอยากลดน้ำหนักแต่ไม่ชอบออกกำลังกายหนัก ๆ มักจะนึกถึงกัน เพราะเน้นไปที่การปรับวิธีการกินเป็นหลัก ซึ่งก็จะขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วยว่ามีความตั้งใจและปฏิบัติได้อย่างถูกต้องหรือไม่ ดังนั้นก่อนที่จะตัดสินใจทำ IF ลองมาดู 7 ข้อควรรู้เมื่อคิดจะลดน้ำหนักแบบ IF กันสักหน่อยดีกว่า


หลายคนคงเคยได้ยินหรือเห็นคำว่า IF ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแล้ว ว่าเป็นวิธีที่ช่วยลดน้ำหนัก ลดไขมันได้ แต่ยังมีคนบางคนที่อาจจะยังไม่เข้าใจว่า IF มันคืออะไร แล้วลดน้ำหนักได้อย่างไร เราจึงขอแนะนำให้ไปทำความเข้าใจกับคำว่า IF กันก่อนที่บทความนี้ >> การทํา IF คืออะไร ช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม 



หากใครที่รู้แล้วว่าการทำ IF มีวิํธีการอย่างไร และยังสนใจอยากลองทำวิธีนี้ เรามี 7 ข้อควรรู้ในการลดน้ำหนักแบบ IF มาให้เป็นข้อมูลก่อนตัดสินใจกัน


1. ร่างกายเรามีช่วงเวลา FASTING อยู่แล้วทุกวัน

อย่างที่ทุกคนรู้กันแล้วว่า FASTING คือช่วงของการอดอาหาร ซึ่งปกติแล้วร่างกายของเรามีการอดอาหารอยู่ทุกวันโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งช่วงนั้นก็คือ ช่วงเวลานอนหลับ แต่แค่ไม่ได้ทำเป็นระบบนั่นเอง ดังนั้นถ้ามองว่าตัวเองไม่ได้จำเป็นต้องอดอาหารจริงจัง หรือต้อลดน้ำหนักขนาดนั้น อาจไม่จำเป็นต้องทำ IF ก็ได้ แต่หันไปใช้วิธีอื่นแทน เช่น เลือกอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้อ้วน ควบคุมแคลอรี เป็นต้น 


2. อดอาหาร (FASTING) นาน ๆ ไม่ได้หมายความว่าจะลดไขมันได้

บางคนอาจคิดว่าต้องอดอาหารนาน ๆ ให้ได้ถึง 10 หรือ 12 ชั่วโมงเป๊ะ ๆ ร่างกายถึงจะเผาผลาญไขมันได้มาก แต่ความจริงแล้วช่วงเวลาที่เรานอนหลับร่างกายก็ทำการเผาผลาญไขมันอยู่แล้ว การอดอาหารตามสูตรเป็นเพียงวิธีที่ช่วยเพิ่มกระบวนการเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้นนั่นเอง 



3. ในช่วงการกิน (FEEDING) ไม่ใช่ว่าจะกินอะไร หรือกินเท่าไหร่ก็ได้

ถึงแม้ว่าในช่วงกิน (FEEDING) สามารถกินได้ตามปกติ แต่คำว่าปกติในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าจะกินอะไร หรือกินเยอะเท่าไหนก็ได้ เพราะบางคนชอบคิดว่ากินไปเยอะ ๆ กินให้เต็มที่ กินเผื่อช่วงเวลาที่ต้องอดอาหาร ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิด การกินที่ถูกต้องในช่วง FEEDING คือกินอย่างพอเหมาะ กินพออิ่ม และมีการคำนวณ ควบคุมปริมาณแคลอรีของอาหารที่จะกินในแต่ละวันด้วย


4. ในช่วงการกิน (FEEDING) ไม่ควรกินน้อยเกินไปหรืออดอาหาร

ในทางกลับกัน ช่วนการกินก็ควรจะกินอาหารในปริมาณที่เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ไม่ควรกินน้อยเกินไปหรืออดอาหาร เพราะจะทำให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่



5. การลดน้ำหนักแบบ IF ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาการกิน  

คนที่มีปัญหาการกินที่ว่านี้คือคนที่ไม่สามารถจัดการกับความอยากอาหารของตัวเองได้ หรือเรียกว่าเป็นคนที่ตะบะแตกง่าย เนื่องจากหลักสำคัญของการทำ IF นั้น อยู่ที่การกินและการอดเป็นช่วงเวลา ดังนั้นหากไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมการกินได้ เช่น กำลังอดอาหารอยู่แต่สุดท้ายทนไม่ไหว กลับมากินเยอะกว่าเดิม ก็จะทำให้เกิดผลเสียกับร่างกายได้


6. ระหว่างอดอาหาร ถ้าหิวมาก ๆ สามารถกินได้

ถ้าเกิดว่ารู้สึกหิวแบบหิวมาก ๆ ในช่วงเวลาของการอดอาหาร สามารถกินอาหารที่ไม่ให้พลังงาน หรือให้พลังงานต่ำมาก ๆ ได้ เช่น น้ำเปล่า กาแฟดำ ชาที่ไม่ใส่น้ำตาล แต่ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีสารให้ความหวานแทนน้ำตาล เป็นต้น ไม่ควรฝืนหรือทรมานตัวเอง เพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนล้ามากเกินไปได้


7. IF ไม่ใช่วิธีเดียวที่ลดไขมันได้

การทำ IF ช่วยให้ระดับอินซูลินต่ำและนำไปสู่การเผาผลาญไขมันที่มากขึ้นได้ก็จริง แต่การลดแคลอรี กินอาหารน้อยลง ลดปริมาณแป้ง ก็ทำให้ระดับอินซูลินต่ำ เกิดเผาผลาญไขมันได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น IF อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด และเหมาะกับทุกคนเสมอไป



หลังจากที่ได้อ่านข้อควรรู้ก่อนลดน้ำหนักแบบ IF แล้ว ก็น่าจะทำให้หลายคนตัดสินใจได้ว่าจะทำหรือไม่ทำดี อย่างไรก็ดีควรศึกษาข้อมูลให้ละเอียดก่อนลงมือปฏิบัติอีกที หากใครสนใจอยากจะลองลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ หรืออยากทำความเข้าใจรายละเอียดอื่น ๆ ของการทำ IF สามารถเข้าไปสมัครเรียนคอร์ส INTERMITTENT FASTING (IF) เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับการทำ IF กันได้เลย


>> คลิกชมคอร์ส <<

ที่มาข้อมูล

  • ลดน้ำหนักให้ได้ผลด้วยIntermittentFasting(IF)
  • 4ข้อควรรู้ก่อนลดน้ำหนักด้วยวิธีIF